วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

bill of Lading2

1. ชื่อที่อยู่ของผู้ส่งสินค้า (Shipper)
MR. VORAVAT KOSOL
1100 S.W. CLAY STREET
PORTLAND, OR 97201 U.S.A.
2. ชื่อที่อยู่ของผู้รับตราส่ง (Consignee)
MR. VORAVIT KOSOL
188 SILOM, BANGKOK THAILAND

3. ชื่อที่อยู่ของผู้รับสินค้า (Notify Party)
MR. VORAVIT KOSOL
18/1 COVENT ROAD
SILOM, BANGKOK THAILAND

4. เลขที่ใบตราส่งสินค้า(Bill of lading No.)
04380/BKK
5. ชื่อเรือสินค้าลำลูก (Precarriage)และเที่ยวเรือ
6. ชื่อเรือสินค้าลำแม่ (Vessel)และเที่ยวเรือ
7. สถานที่รับสินค้าที่ต้นทาง (Place of Receipt)

PORTLAND
8. เมืองท่าต้นทาง (Port of Loading)
LONG BEACH
9. เมืองท่าปลายทาง (Port of Discharge)
BANGKOK THAILAND
10. สถานที่รับสินค้าปลายทาง (Place of Delivery)
BY ON CARRJIER
11. เครื่องหมายและเลขหมายหีบห่อ (Mark&No.)
 VORAVIT KOSOL BANGKOK, THAILAND
12. จำนวนสินค้า (No.of Containers or Pkgs.)
61 BOXES (3SKIDS)
13. ลักษณะหีบห่อ (Kind of Packages)
3 SKIDS
14. รายการสินค้า (Description of Goods)
SAID TO CONTAIN
61 CARTONS OF USED HOUSEHOLD AND
PERSONAL EFFECTD
SKID DIMENSION
SKID DIMENSION
53*40*69 INCHES (L*W*H)
48*42*52 INCHES
50*48*59 INCHES

15. น้ำหนักสินค้า (Gross weight)
2680 LBS
16. ปริมาตรของสินค้า (Measurement)
227.25 CUF
67.435 CBM

17. หมายเลขคอนเทนเนอร์ (Container No.)
18. หมายเลขแถบประทับ (Seal No.)
19. ค่าระวางสินค้าและค่าใช้จ่ายที่เรียกเก็บ (Freight & Charge)

227.25 CUF*4.00 PER CUF
20. จำนวนของต้นฉบับ (No.of Original B/L)
THREE (3)
21. สถานที่ออกใบตราส่ง (Place of issued)
SIAM INTERNAL FREIGHTLINES
22. วันที่ออกใบตราส่ง (Date)
JOLY 15,2001
23. วันที่ขึ้นเรือ (On board date)
JOLY 15,2001
24. ลายมือชื่อผู้ออกตราส่ง (Signature)
NANCY S.

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

Border Trade
Countertrade  คือ    การแลกเปลี่ยนหมายถึงสินค้าหรือบริการที่จะได้รับเงินสำหรับในทั้งหมดหรือบางส่วนให้กับสินค้าหรือบริการอื่น ๆ มากกว่าด้วยเงิน การประเมินมูลค่าทางการเงิน แต่จะสามารถใช้ในการค้าเคาน์เตอร์เพื่อวัตถุประสงค์ในการบัญชี ในการติดต่อระหว่างรัฐอธิปไตยคำว่าการค้าทวิภาคีจะใช้ หรือ"ทำธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการสำหรับสิ่งที่มีค่าเท่ากับ."
Drawback   คือ   ข้อเสียเปรียบในกฎหมายในการค้า , การจ่ายเงินกลับหน้าที่จ่ายเงินก่อนหน้านี้ในการส่งออกที่ต้องเสียภาษีหรือบทความเกี่ยวกับสินค้าจากต่างประเทศอีกครั้งการส่งออก วัตถุของข้อเสียเปรียบคือการปล่อยให้สินค้าที่อาจมีการจัดเก็บภาษีส่งออกและจำหน่ายในต่างประเทศตามเงื่อนไขเช่นเดียวกับสินค้าจากประเทศที่พวกเขาจะไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งแตกต่างจากความโปรดปรานในการที่โปรดปรานจะช่วยให้สินค้าที่จะขายในต่างประเทศที่ต่ำกว่าราคาต้นทุนของพวกเขาก็อาจจะเกิดขึ้น แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้เสียเปรียบมีผลเท่ากับว่าของโปรดปรานเช่นในกรณีของ ที่เรียกว่าโปรดปรานน้ำตาลในเยอรมนี (ดูน้ำตาล ) ก่อนหน้านี้อัตราภาษีที่มีตารางที่ซับซ้อนของเสียได้รับอนุญาตในการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์หรือ re - การส่งออก แต่เท่าที่สหราชอาณาจักรเป็นห่วง (ณ 1911) ระบบของการคลังสินค้าถูกผูกมัดข้อบกพร่องยกเลิกจวนเป็นสินค้าที่สามารถwarehoused (วางไว้ในพันธบัตร ) จนกว่าจะจำเป็นสำหรับการส่งออก
Foreign market value (FMV)    มูลค่าต่างประเทศ
Consumer durables      
     คงทนของผู้บริโภค  คือ ในเศรษฐศาสตร์มีความทนทานดีหรือยากดีเป็นดีที่ไม่ได้สวมใส่ได้อย่างรวดเร็วออกหรือมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้สาธารณูปโภคในช่วงเวลาแทนที่จะสมบูรณ์บริโภคในการใช้งาน รายการเช่นอิฐหรือเครื่องประดับที่อาจจะพิจารณาสินค้าคงทนที่ดีที่สุดเพราะพวกเขาควรจะในทางทฤษฎีไม่เคยใส่ออก สินค้าคงทนสูงเช่นตู้เย็น , รถยนต์ , หรือโทรศัพท์มือถือมักจะดำเนินการต่อไปจะมีประโยชน์สำหรับสามปีหรือมากกว่าในการใช้งาน[ 1 ]ดังนั้นสินค้าคงทนมีลักษณะโดยทั่วไปเป็นระยะเวลานานระหว่างการสั่งซื้อต่อเนื่อง
     ตัวอย่างของสินค้าคงทนของผู้บริโภครวมถึงรถยนต์, ของใช้ในครัวเรือน ( เครื่องใช้ในบ้าน , อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค , เฟอร์นิเจอร์ , ฯลฯ ), อุปกรณ์กีฬาและของเล่น .
Black market 
        ตลาดดำ  คือการค้าสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายในตัวเองและ / หรือกระจายผ่านทางช่องทางที่ผิดกฎหมายเช่นการขายของสินค้าที่ถูกขโมยยาเสพติดบางอย่างหรือปืนที่ไม่ได้จดทะเบียน สองประเภทหลักของตลาดสีเทาจะถูกนำเข้าสินค้าที่ผลิตที่ปกติจะใช้งานไม่ได้หรือแพงขึ้นในบางประเทศและหลักทรัพย์ unissued ที่ไม่ได้มีการซื้อขายในตลาดยังอย่างเป็นทางการ บางครั้งคำว่าตลาดที่มืดใช้เพื่ออธิบายความลับ, อลหม่าน (แต่มักจะถูกต้องตามกฎหมายในทางเทคนิค) ในการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์น้ำมันดิบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2008 [ 3 ]นี้จะถือว่าเป็นชนิดที่สามของ"ตลาดสีเทา"เนื่องจากมันถูกต้องตามกฎหมายยัง ระเบียบและอาจจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์หรือผู้มีอำนาจอย่างชัดเจนโดยผู้ผลิตน้ำมัน
Gray market goods   
        การตลาดสีเทา    คือ   ตลาดสีเทาหรือตลาดสีเทายังเป็นที่รู้จักในตลาดขนาน[
                 1 ] คือการค้าของสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายซึ่งในขณะที่กฎหมายเป็นทางการได้รับอนุญาตหรือไม่ได้ตั้งใจโดยผู้ผลิตเดิม ระยะที่เศรษฐกิจสีเทาแต่หมายถึงคนงานการจ่ายเงินใต้โต๊ะโดยไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้หรือส่วนร่วมในการบริการสาธารณะเช่นประกันสังคมและ Medicare
                  2 ] มันเป็นบางครั้งเรียกว่าเป็นเศรษฐกิจใต้ดินหรือ"เศรษฐกิจซ่อน."
Re-export   คือ  ได้นั้น เป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาแล้วและไม่ได้ผ่านกระบวนการผลิตหรือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือลักษณะใดเพิ่มเติม หรือของที่นำเข้ามาเพื่อเป็นของใช้สิ้นเปลืองสำหรบยานพาหนะที่เดินทางไปต่างประเทศ เช่นน้ำมัน หรือภาชนะที่พ่วงมากับสินค้านำเข้าและต้องส่งกลับประเทศที่ส่งออกมา
โดยปกติ แล้วสินค้านำเข้ามาในประเทศจะถูกจัดเก็บภาษี แต่ถ้าเป็นสินค้าประเภท Re-Export ซึ่งถือว่าเป็นสินค้านำเข้าเช่นกันแต่มีเงื่อนไขแตกต่างกันคือ ถูกส่งออกอีกครั้งนั้น จะมีวิธีการเก็บภาษีอากรแตกต่างกันไป ก่อนอื่นขอกล่าวถึง รูปแบบการเข้ามาของสินค้า Re-Export ว่ามีอยู่ 2 แบบ ดังนี้
                1.แบบในอารักขาของกรมศุลกากร คือ สินค้านำเข้ามาแล้วยังอยู่ในการดูแลของกรมศุลกากร และเมื่อสินค้าหรือของนั้นเข้ามา ผู้นำเข้าพร้อมทำเรื่องแจ้งนำเข้า และส่งออกในเวลาเดียวกัน สินค้า Re-Export แบบนี้จะต้องชำระภาษีอากรไม่เกินราคา 1 ใน 10 โดยคำนวณตามใบขนสินค้าขาออกแต่ละฉบับ (Invoice)แต่ไม่เกิน 1,000 บาท
                2.แบบนอกอารักขาของกรมศุลกากร คือ เมื่อสินค้าเข้ามาใน
ประเทศก็ชำระภาษีอากรนำเข้าตามปกติแล้ว ต่อมาส่งของนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนไปต่างประเทศ และสามารถมายื่นเรื่องขอคืนภาษีอากรนำเข้าตามอัตราส่วนสินค้านำเข้าที่ส่งออกต่อไป
                การทำ Re-Export สำหรับในกรณีที่ 2 นี้ ต้องอยู่ในข้อบังคับด้วยว่าส่งออกสินค้าหรือวัสดุนั้นไปภายในหนึ่งปีนับแต่วันนำเข้าและต้องขอคืนอากรภายในหกเดือนนับแต่วันที่ส่งของนั้นออกไป ตามมาตรา 19 สำหรับสินค้า Re-Export ตามพระราชบัญญัติศุลกากร
Agribusiness
                ธุรกิจการเกษตร  คือ  หมายถึง  กระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสาขาเกษตรและสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิตพืช  การเลี้ยงสัตว์  การเพาะเลี้ยงสัตว์และจับสัตว์น้ำ รวมทั้งการผลิตปัจจัยการผลิตธุรกิจการรวบรวมสินค้าจากเกษตรกร  การแปรรูป  การขายปลีก  การขายส่ง  การเก็บรักษา  การขนส่งสินค้าไปสู่ผู้บริโภค  และผู้ใช้ภายในประเทศและต่างประเทศ  และรวมถึงสินเชื่อ
Delivered at frontier
        คำที่ใช้ในการค้าระหว่างประเทศเช่นการส่งมอบที่ชายแดนเค้าร่างที่ความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายในการขนส่งของสินค้าที่อยู่ภายใต้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ความหลากหลายของเงื่อนไขที่มีอยู่สำหรับวิธีการต่างๆของการขนส่ง ส่งที่ชายแดนมักใช้เมื่อใช้การขนส่งภาคพื้นดินเช่นรถบรรทุกหรือรถไฟที่จะจัดหาสินค้าที่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักว่าเพราะนี้เป็นคำทางกฎหมาย, ความหมายที่แท้จริงของมันคือความซับซ้อนมากขึ้นและแตกต่างกันไปตามประเทศ มันจะแนะนำให้คุณติดต่อทนายความการค้าระหว่างประเทศก่อนที่จะใช้ระยะเวลาการค้าใด ๆ
Import quota
                คือ  โควต้านำเข้าเป็นประเภทของการกีดกัน ทางการค้าข้อ จำกัดที่กำหนดขีด จำกัด ทางกายภาพเกี่ยวกับปริมาณของที่ดีที่สามารถนำเข้ามาในประเทศในช่วงเวลาที่กำหนด[ 1 ]โควต้าเช่นเดียวกับข้อ จำกัด ทางการค้าอื่น ๆ จะถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ ผู้ผลิตที่ดีในเศรษฐกิจภายในประเทศที่ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้งหมดของดีในทางเศรษฐกิจที่
โควต้านักวิจารณ์กล่าวมักนำไปสู่​​ความเสียหาย (สินบนที่จะได้รับการจัดสรรโควต้า), การลักลอบขน (circumventing โควต้า) และราคาที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค
                ในทางเศรษฐศาสตร์, โควต้ามีความคิดที่จะน้อยกว่าทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพกว่าภาษีซึ่งจะมีการเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการค้าเสรี .

Embargo  
      การห้ามส่งสินค้า คือ  การห้ามไม่ให้ประเทศใดประเทศหนึ่งทำการติดต่อค้าขายโดยการส่งสินค้าไปขายหรือสั่งซื้อสินค้า  โดยถือว่าประเทศนั้นเป็นศัตรูของตน  คำสั่งห้ามส่งสินค้านี้ส่วนใหญ่จะใช้ในภาวะของสงครามและการกระทำกับประเทศคู่สงครามและการกระทำกับประเทศคู่สงครามหรือบางครั้งมีคำสั่งในช่วงภาวะปกติไม่ใช่สงคราม  เป็นภาวะชั่วคราวปกติไม่ใช่สงคราม  เป็นภาวะชั่วคราวของการกีดกันทางการค้าดพื่อหวังผลกดดันทางการเมือง
Foreign direct investment (FDI)
       คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ( FDI ) หรือการลงทุนต่างประเทศหมายถึงเงินทุนไหลเข้าสุทธิจากการลงทุนที่จะได้รับความสนใจการจัดการที่ยั่งยืน (ร้อยละ 10 หรือมากกว่าของหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง) ในการดำเนินงานขององค์กรในทางเศรษฐกิจอื่น ๆ กว่าที่ของผู้ลงทุน[ 1 ]มันเป็น ผลรวมของทุน, การลงทุนใหม่ของรายได้ของเงินทุนระยะยาวอื่นและเงินทุนระยะสั้นตามที่แสดงในที่สมดุลของการชำระเงิน . มันมักจะเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในการจัดการ , ร่วมทุน , การถ่ายโอนเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ . ขาเข้าโดยตรงจากต่างประเทศมีสองประเภทของการลงทุนโดยตรงจะมีการลงทุนและขาออกการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศส่งผลให้กำไรสุทธิ FDI ที่ไหลเข้ามา (บวกหรือลบ) และ"สต็อกของการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ"ซึ่งเป็นจำนวนที่สะสมสำหรับช่วงเวลาที่กำหนด ไม่รวมการลงทุนโดยตรงจากการลงทุนผ่านการซื้อหุ้น . [ 2 ] FDI เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเคลื่อนย้าย
Consumer goods
       สินค้าเพื่อบริโภค  คือ สินค้าหรือบริการที่ผู้ซื้อซื้อไปเพื่อการอุปโภคบริโภคเองในครอบครัว  เพื่อตอบสนองความต้องการหรือสร้างความพึงพอใจแก่ตนเองหรือสามาชิกในครอบครัว  แตกต่างจากสินค้าเพื่ออุตสาหกรรม (Industrial  Good ) ที่ผู้ซื้อ ซื้อไปใช้งานภายในองค์กร  หรือซื้อไปใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าหรือบริการ  แล้วนำออกมาขายเพื่อแสวงหากำไร 
Import licence
        คือ ใบอนุญาตนำเข้าเป็นเอกสารที่ออกโดยรัฐบาลแห่งชาติอนุญาตการนำเข้าสินค้าบางอย่างลงในอาณาเขตของตน ใบอนุญาตนำเข้าจะถือว่าเป็นอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีการค้าเมื่อนำมาใช้เป็นวิธีการเลือกปฏิบัติต่อสินค้าของประเทศอื่นเพื่อที่จะปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันต่างประเทศ ใบอนุญาตแต่ละระบุปริมาณการนำเข้าที่ได้รับอนุญาตและการอนุญาตให้ใช้ปริมาณทั้งหมดไม่ควรเกินโควต้า . ใบอนุญาตสามารถขายให้กับ บริษัท นำเข้าในราคาที่แข่งขันหรือเพียงแค่ค่าใช้จ่าย แต่ก็เป็นที่ถกเถียงกันว่าวิธีการจัดสรรให้แรงจูงใจในการวิ่งเต้นทางการเมืองและการติดสินบน รัฐบาลอาจจะใส่ข้อ จำกัด บางประการเกี่ยวกับสิ่งที่จะนำเข้าเช่นเดียวกับจำนวนของสินค้าที่นำเข้าและ services.Eg หากธุรกิจมีความประสงค์จะนำเข้าสินค้าทางการเกษตรเช่นผักแล้วรัฐบาลอาจจะกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการนำเข้าดังกล่าวของตลาดในประเทศและ จึงนำข้อ จำกัด
Primary commodity
      คือ  สิ่งใดๆ  ที่สามารถนำเสนอขายให้แก่ตลาดเพื่อให้เกิดความพอใจ ความต้องการเป็นของเจ้าของ  เรียกให้มีการซื้อ  การใช้  หรือการบริโภค  ซึ่งเป็นสิ่งที่ (อาจจะ) ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของผู้ซื้อให้ได้รับความพอใจ
ที่มา http://xmungkudx.blogspot.com

Containerization

Bulk Cargo คือ สินค้าทั่วไปที่ไม่สามารถจัดก็บเป็นหีบห่อได้ ส ซึ่งประกอบด้วย สินค้าแห้ง (Dry Bulk) และสินค้าเหลว (Liquid Bulk) ♘ สินค้าหีบห่อ หรือสินค้าเทกองหรือรวมกองwww.patarapong-logistics.com/news_inside.php?news=28

Claused bill  การเรียกเก็บเงิน  http://www.google.com/
                     ใบตราส่งชนิดที่มีเงื่อนไข ซึ่งทางบริษัทเรือจะออกให้ตามคำบันทึกของกัปตันเรือ
http://www.tice.ac.th/Online/Online2-2548/bussiness/apinya/page2_7.htm


Charter        นาม กฎบัตร สัญญาเช่า ธรรมนูญ กฎหมาย ใบอนุญาตกรรมสิทธิ์ สิทธิพิเศษ
                    กริยา เหมาhttp://www.google.com/


Broken Stowage พื้นที่ๆสูญเสียไปจากการจัดเรียง o Lashing –การที่นำเชือกมายึด Cargo ไว้เพื่อไม่ให้สินค้าหล่น เป็นการ Secure สินค้า.
thewanderor.blogspot.com/2008/08/it211-containerlize.html


ship broker  ผู้แทนของบริษัทเดินเรือ; นายหน้าซื้อขายเรือ; ผู้ทำการประกันภัยทางทะเล
http://guru.sanook.com/search/ship_broker/


Belly cargo การขนส่งทางช่อง
back freight = การส่งคืนสินค้ากลับต้นทาง
Ship’s master  ต้นแบบของเรือ
Partial shipment   การจัดส่งสินค้าบางส่วน
Cargo carrier    ผู้ให้บริการขนส่งสินค้า
Dangerous goods  สินค้าอันตรา
Demurrage   การจอดเรือเกินกำหนด เก็บค่าจอดเกินเวลา




 Less than container load(LCL)
ตู้สินค้าที่บรรจุสินค้าที่มีผู้ส่งและ/หรือผู้รับหลายรายใน
ตู้สินค้าเดียวกันซึ่งแต่ละรายจะมีสินค้าอยู่มากน้อยเท่าใดก็ได้
แต่สินค้าทั้งหมดจะถูกนำไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน
ความรับผิดชอบในการ บรรจุสินค้าในตู้สินค้าและ/ หรือนำสินค้า
ออกจากตู้สินค้าในลักษณะนี้จะอยู่กับผู้รับการขนส่งซึ่งส่วนใหญ่
่แล้วจะเป็นบริษัทเรือ บางครั้งในวงการเรือเรียกตู้สินค้าชนิดนี้ว่าเป็น
ตู้ CFS เพราะต้องมีการนำสินค้ามาผ่านโกดังจัดแยกชนิดสินค้า
ก่อนที่จะทำการบรรจุ ใส่ตู้สินค้าหรือ ส่งไปยังจุดหมายปลายทาง

FCL,Full Container Load 
ตู้สินค้าที่บรรจุสินค้าที่มีผู้ส่งและ/หรือผู้รับเป็นเจ้าของ
รายเดียว อยู่ในตู้สินค้าเดียวกัน ส่วนมากความรับผิดชอบในการบรรจุ
สินค้าในตู้สินค้า และ/หรือนำสินค้าออกจากตู้สินค้าจะอยู่กับผู้ส่ง
และ/หรือ
ผู้รับนั้นๆ  บางครั้งในวงการเรือเรียกตู้สินค้าขนิดนี้ว่าเป็นตู้
CY เพราะสามารถรับและ/หรือส่งตู้ชนิดนี้ได้โดยไม่ต้องผ่านโกดัง


Bagged cargo  สินค้าบรรจุถุง
Deck cargo     สินค้าที่บรรทุกบนปากระวาง




ที่มา http://www.licdsrt.ob.tc/container%20word.html

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

คำศัพท์ที่ควรรู้

Financial Document
ตั๋วแลกเงิน (Bill of exchange) คือ ตราสารการเงินระยะสั้น ที่บุคคลรายหนึ่งสั่งให้บุคคลอีกรายหนึ่ง จ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ในตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่บุคคลอีกรายหนึ่ง ในวันที่กำหนดบนหน้าตั๋วแลกเงินนั้น ตั๋วแลกเงินสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ในตลาดเงิน (money market) ส่วนใหญ่จะมีธนาคารหรือสถาบันการเงินค้ำประกัน หรือรับรอง หรือรับอาวัล หรือสลักหลังอย่างไม่มีเงื่อนไข ตั๋วเงินชนิดหนึ่งเป็นตราสารแสดงสิทธิในหนี้ มักใช้ในการซื้อขายสินค้าหรือกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคาร โดยทั่วไปสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้
ดราฟต์ (Demand Draft) คือตราสารทางการเงิน หรือ ตั๋วแลกเงินของธนาคาร ที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นผู้ออกและสั่งให้ธนาคารตัวแทน (Correspondent Bank) หรือสาขาของตนในต่างประเทศจ่ายเงินจำนวนหนึ่งตามที่ระบุในดราฟต์ ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่มีชื่อระบุไว้บนดราฟต์
        ตั๋วแลกเงินหรือดราฟต์ (Bill of Exchange or Drafts) ในกรณีนี้ผู้ออกตั๋วเป็นผู้สั่งให้อีกบุคคลหนึ่งจ่ายให้แก่ตน หรือจ่ายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งตามคำสั่ง โดยที่ตั๋วแลกเงินนั้นก็คือ หนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้จ่ายให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในกรณีตั๋วแลกเงินนั้นมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องถึงสามฝ่ายด้วยกันคือ ผู้สั่งจ่าย (Drawer) ผู้รับคำสั่งให้จ่ายหรือผู้จ่าย (Drawee) และผู้รับเงิน (Payee ) แต่ในบางกรณีอาจจะมีเพียงสองฝ่ายก็ได้ คือ ผู้สั่งจ่ายและผู้รับเงินเป็นบุคคลเดียวกัน
        ตั๋วแลกเงินแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ ตั๋วแลกเงินภายในประเทศ และตั๋วแลกเงินต่างประเทศ สำหรับตั๋วแลกเงินต่างประเทศ ตั๋วแลกเงินจะบังคับได้ในกรณีผู้ถูกสั่งให้จ่ายหรือผู้จ่ายต้องได้มีการรับรองการจ่ายเงิน (Accepted) บนหนังสือตราสารนั้น
        ตั๋วแลกเงินสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
         (1) แยกตามลักษณะของผู้จ่ายเงิน (Drawee) ในกรณีที่สั่งให้ธนาคารเป็นผู้จ่ายเรียกว่า ตั๋วแลกเงินธนาคาร (Bank Draft หรือ Sight Bill) ตั๋วแลกเงินที่มีกำหนดเวลา (Time Bill) คือ ตั๋วแลกเงินที่มีการตกลงร่วมกันระหว่างผู้จ่ายและผู้รับ ว่าจะมีการชำระหรือเบิกถอนหลังจากผู้รับได้รับตั๋วแลกเงินแล้วเป็นเวลากี่วัน
         (2) เช็ค (Cheque) ก็เป็นตั๋วแลกเงินลักษณะหนึ่ง แต่ผู้จ่ายเงินเป็นธุรกิจของสถาบันการเงินรูปหนึ่งที่เรียกว่า ธนาคาร ซึ่งเช็คก็คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่าผู้รับเงิน

Bill for Collection (B/C)

เป็นเครื่องมือการชำระเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันว่าเมื่อผู้ขายส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายจะจัดทำและส่งเอกสารไปเรียกเก็บเงินยังผู้ซื้อโดยผ่านธนาคารของผู้ซื้อ ซึ่งเรียกเครื่องมือการชำระเงินนี้ว่า Bill for Collection (B/C) โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Documents Against Payment (D/P) และ Documents Against Acceptance (D/A) ธนาคารจะเป็นตัวกลางในการเรียกเก็บเงินเท่านั้น จะไม่มีภาระผูกพันเกี่ยวกับการชำระเงินแทนผู้ซื้อ ซึ่งธนาคารสามารถให้บริการแก่ผู้นำเข้าได้

หุ้นกู้ (Bonds) คือ ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะยาวประเภทหนึ่งที่ออกโดยผู้กู้ ซึ่งระบุว่าผู้กู้ ได้กู้ยืมเงินจำนวนหนึ่งจากผู้ซื้อ หรือผู้ถือหุ้นกู้
โดยผู้กู้สัญญาว่าจะจ่ายคืนเงินจำนวนดังกล่าวในอนาคต และจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายงวดตามวันที่กำหนดไว้ตลอดอายุหุ้นกู้ ผู้ถือหุ้นกู้จะมีสภาพ เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้น

Transport Document

ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of Lading)  
ใบตราส่งสินค้าทางเรือเป็นเอกสารที่มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ
  • เป็นใบรับสินค้าที่ออกให้โดยสายเดินเรือหรือตัวแทนสายเดินเรือ ที่มีรายละเอียดของสินค้าที่จะทำการขนส่ง
  • เป็นสัญญาการขนส่งระหว่างผู้ส่งสินค้ากับผู้รับขนส่งสินค้า ว่าผู้รับขนส่งจะส่งสินค้าไปยังเมืองท่าปลายทางและจะส่งมอบให้แก่ผู้รับที่ผู้ส่งสินค้าได้ระบุไว้
  • เป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่ขนส่งที่เปลี่ยนมือได้ (Negotiable) ของผู้ทรงสิทธิ์ ซึ่งผู้ทรงสิทธิ์จะใช้ในการขอรับสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง หรือจะใช้ในการขายต่อสินค้าให้กับผู้รับซื้อช่วงในระหว่างการขนส่งก็ได้








ข้อความที่สำคัญในใบตราส่งสินค้าทางเรือมีดังนี้
ภาพ:ซื้อขาย.GIF

  • ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air Way Bill)
        ใบตราส่งสินค้าทางอากาศเป็นเพียงใบรับสินค้าและสัญญาการขนส่งเท่านั้น







ข้อความที่สำคัญในใบตราส่งสินค้าทางอากาศมีดังนี้







ภาพ:ใบตรา.GIF

  • ใบตราส่งสินค้าที่ใช้กับการขนส่งรวมรูปแบบต่อเนื่องหลายวิธีเข้าไว้ด้วยกัน
        ใบตราส่งสินค้าที่ใช้กับการขนส่งรวมรูปแบบต่อเนื่องหลายวิธีเข้าไว้ด้วยกัน เรียกว่า Multimodal Transport Bill of Lading ใช้สำหรับการขนส่งที่รวมรูปแบบหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน เช่น ขนส่งโดยรถยนต์ไปต่อเรือเดินสมุทรแล้วไปต่อเครื่องบินอีกทอดหนึ่งเป็นต้น ใบตราส่งสินค้าแบบ Multimodal Transport Bill of Lading มีรายละเอียดเหมือนกันกับใบตราส่งสินค้าทางทะเลเกือบทั้งหมด







ข้อความที่สำคัญในใบตราส่งสินค้าแบบ Multimodal Transport Bill of Lading มีดังนี้







ภาพ:ขาย.GIF

Air Waybill : ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ ? เป็นใบรับและเป็นสัญญารับขนสินค้าของบริษัทการบิน ออกให้แก่ผู้ส่งออก (Exporter) ซึ่งต่างไปจาก B/L โดย Air Way Bill ไม่ใช่ตราสารแสดงสิทธิของผู้ส่งสาร
Rail Waybill : ใบตราส่งทางรถไฟ ? เป็นใบรับออกโดยการรถไฟหรือตัวแทน (Agent) และมีลายเซ็นของผู้ทำการขนส่ง และตัวแทนลงนามประทับตราและวันที่ออก


Certificate of Posting

การออกหนังสือรับรองภาษาอังกฤษ

ปัจจุบันสรรพากรได้ให้บริการการออกหนังสือรับรองการเสียภาษี และการมีถิ่นที่อยู่เป็นภาษาอังกฤษให้กับผู้เสียภาษี ผู้เสียภาษีสามารถนำหนังสือรับรองเหล่านี้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางภาษีในต่างประเทศได้

ประเภทหนังสือรับรองที่ออกให้โดยกรมสรรพากร

1.   หนังสือรับรองการเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (Non – Resident Withholding Tax Certificate)

2.   หนังสือรับรองการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลเป็นภาษาอังกฤษ (Income Tax Payment Certificate)

3.   หนังสือรับรองการมีถิ่นที่อยู่เพื่อการรัษฎากรในประเทศไทย (Certificate of Residence)

4.   หนังสือรับรองการมีสถานภาพเป็นผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (Statement on the Tax Status of the Business)

5.   หนังสือรับรองการมีสถานภาพเป็นผู้เสียภาษีตามกฎหมายไทย (Certificate of Status of Taxable Person)
ผู้ออ
กหนังสือรับรอง

สำนักงานสรรพากรที่รับผิดชอบในท้องที่ของผู้หักภาษี ณ ที่จ่าย หรือผู้เสียภาษี ซึ่งได้แก่

          -   สรรพากรภาค

          -   สำนักบริหารผู้เสียภาษีขนาดใหญ่

ยื่นคำร้องต่อสำนักงานสรรพากรที่ท่านสังกัดตามข้างต้น พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้อง (ตามประเภทของหนังสือรับรองที่ต้องการ)



Customer Relationship Management (CRM) เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เรียนรู้ความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า และตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนมากที่สุด กระบวนการทำงานของระบบ CRM มี 4 ขั้นตอนดังนี้
  1. Identify เก็บข้อมูลว่าลูกค้าของบริษัทเป็นใคร เช่น ชื่อลูกค้า ข้อมูลสำหรับติดต่อกับลูกค้า
  2. Differentiate วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน และจัดแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มตามคุณค่าที่ลูกค้ามีต่อบริษัท
  3. Interact มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อเรียนรู้ความต้องการของลูกค้า และเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว
  4. Customize นำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีความเหมาะสมเฉพาะตัวกับลูกค้าแต่ละคน
มีการนำระบบไอทีมาใช้กับ CRM เพื่อช่วยในการจัดการฐานข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์ข้อมูล และเป็นช่องทางในการติดต่อกับลูกค้า โดยสถาปัตยกรรมของซอฟท์แวร์ด้าน CRM มักแบ่งออกเป็น 3 ส่วนดังนี้
  1. Operational CRM เป็นซอฟท์แวร์ front office ที่ใช้ช่วยจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น sales, marketing หรือ service เช่น การจัดการข้อมูลติดต่อลูกค้า การเสนอราคา การบริหารฝ่ายขาย การเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า ระบบบริการลูกค้า เป็นต้น
  2. Analytical CRM ระบบวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่รวบรวมได้จากส่วน Operational CRM หรือจากแหล่งอื่นๆ เพื่อแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มและค้นหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่บริษัทสามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการเพิ่มเติมได้
  3. Collaborative CRM ระบบช่วยสนับสนุนในการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น ติดต่อส่วนตัว จดหมาย แฟกซ์ โทรศัพท์ เว็บไซต์ อีเมล เป็นต้น รวมถึงช่วยจัดการทรัพยากรที่บริษัทมีคือพนักงาน กระบวนการทำงาน และฐานข้อมูลลูกค้า เพื่อนำไปให้บริการแก่ลูกค้าและช่วยรักษาฐานลูกค้าของบริษัทได้ดีขึ้น
ประโยชน์ของ CRM ต่อธุรกิจของคุณ
CRM ช่วยเพิ่มความสามารถในการให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น เช่น ใช้เว็บไซต์ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า วิธีการใช้สินค้า และให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นช่องทางให้ลูกค้าแนะนำติชมต่อบริการของบริษัทได้ง่าย ช่วยให้ลูกค้าสามารถ customize ความต้องการของตนเองได้ทันที เป็นต้น
CRM ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับลูกค้าให้ดีขึ้น ช่วยให้บริษัทรู้ความสนใจ ความต้องการ และพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ทำให้บริษัทสามารถนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมกับลูกค้าได้ และช่วยให้บริษัทสามารถให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าตามที่ลูกค้าต้องการได้ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวจะช่วยเพิ่ม loyalty ที่ลูกค้ามีต่อบริษัท ลดการสูญเสียลูกค้า ลดต้นทุนการตลาด เพิ่มรายได้จากการที่ลูกค้าซื้อซ้ำหรือแนะนำให้คนรู้จักซื้อสินค้าของบริษัท และนั่นหมายถึงกำไรของบริษัทที่เพิ่มมากขึ้น
ดัชนีผลตอบแทนรวม TIR คือ การคำนวณผลตอบแทนทุกประเภทของการลงทุนในหลักทรัพย์ให้สะท้อนออกมาในค่าดัชนี ทั้งผลตอบแทนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหลักทรัพย์ที่ลงทุน (Capital gain/loss) สิทธิในการจองซื้อหุ้น (Rights) ซึ่งเป็นสิทธิที่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งมักจะให้สิทธิซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด ณ ขณะนั้น และเงินปันผล (Dividends) ซึ่งเป็นส่วนแบ่งของกำไรที่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้น โดยมีสมมติฐานเพิ่มเติมว่าเงินปันผลที่ได้รับนี้จะถูกนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ด้วย (Reinvest)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำการคำนวณค่าดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์ (SET TRI) ดัชนีผลตอบแทนรวม SET50 (SET50 TRI) ดัชนีผลตอบแทนรวม SET100 (SET100 TRI) ดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai TRI) และดัชนีผลตอบแทนรวมรายอุตสาหกรรม (Industry TRI) รายวัน เพื่อเป็นเครื่องมือเพิ่มเติมสำหรับสะท้อนผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในแต่ละกลุ่มหลักทรัพย์ พร้อมกันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้คำนวณอัตราผลตอบแทนรวมรายเดือนของหลักทรัพย์ย้อนหลัง 12 เดือน สำหรับเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการเปรียบเทียบผลตอบแทนการลงทุนเป็นรายหลักทรัพย์
หนังสือรับรองการตรวจสอบสินค้า (Inspection Certificate) เพื่อรับรองคุณภาพของสินค้าว่า ตรงตามคุณสมบัติที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
ในขั้นตอนการเจรจาซื้อขายสินค้าระหว่างกันนั้น ผู้ขายควรสอบถามถึงเอกสารที่ผู้ซื้อต้องการล่วงหน้าด้วย เนื่องจากเอกสารบางชนิดจะต้องใช้เวลาในการยื่นขอหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการยื่นขอ ผู้ขายจะได้ทราบล่วงหน้าเพื่อคำนวณระยะเวลาให้ทันกับกำหนดการส่งเอกสาร รวมทั้งจะได้สามารถตั้งราคาเผื่อค่าจัดทำเอกสารไว้ล่วงหน้าด้วย

 INSURANCE CERTIFICATE (ใบรับรองการประกันภัย)                    การประกันภัยเป็นส่วนสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ คือสินค้าได้รับการคุ้มครองความเสียหายจากภัยที่เกิดขึ้นจากการขนส่งสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง หลักฐานเอกสารที่สำคัญก็คือ สัญญาประกันภัย ที่เรียกว่า กรมธรรม์ เป็นสัญญาที่ผู้รับประกันตกลงยินยอมประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยผู้เอาประกันจะจ่ายค่าเบี้ยประกันให้ผู้รับประกันตามอัตราที่ตกลงกัน สำหรับสัญญาประกันภัย หรือกรมธรรม์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
                    กรมธรรม์ที่กำหนดมูลค่าของสินค้าในการขนส่งแต่ละเที่ยว ตามมูลค่าสินค้าที่ตกลงซื้อขาย และคิดเพิ่มอีก 10% นั่นเอง สำหรับหลักฐานทางเอกสารที่ออกให้ก็คือ กรมธรรม์ประกันภัย (INSURANCE POLICY)
                    กรมธรรม์เปิด OPEN POLICY OR OPEN COVER หรือจัดให้มีกรมธรรม์ลอยที่เรียกว่า FLOATING INSURANCE หมายถึงการซื้อขายสินค้ารายใหญ่ที่ต้องมีการส่งมอบกันหลายเที่ยว ย่อมไม่สะดวกในการแจ้งบริษัทประกันภัยทุกครั้งที่ส่งไปจึงนิยมใช้แบบกรมธรรม์เปิดหรือกรมธรรม์ลอย และยังเป็นการประหยัดค่าธรรมเนียมพร้อมอากรแสตมป์อีกด้วย ที่สำคัญก็คือ ได้รับความคุ้มครองโดยอัตโนมัติสำหรับสินค้าที่ส่งไปทุกเที่ยวจนกว่าจะหมดตามสัญญา ดังนั้น สินค้าที่ส่งไปแต่ละเที่ยวบริษัทผู้รับประกันจึงออก หนังสือรับรองประกันภัย INSURANCE CERTIFICATE แทนกรมธรรม์ให้เท่านั้น
                    ใบรับรองการประกันภัย (INSURANCE CERTIFICATE) เป็นเอกสารที่สำคัญในการนำเข้าตามกฎเกณฑ์ของบางประเทศที่ต้องแนบไปด้วย ในเงื่อนไขการซื้อขายของราคา ซี.ไอ.เอฟ. (CIF) เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และบางประเทศในยุโรป เป็นต้น


PHYTOSANITARY CERTIFICATE (ใบรับรองการปลอดโรคและศัตรูของพืชทุกชนิด) เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคพืชต่าง ๆ เอกสารชนิดนี้ออกโดยหน่วยงานของรัฐซึ่งได้รับการรับรองจากนานชาติ สำหรับกรรมวิธีการปฏิบัตินั้นอาจใช้บริการ ศึกษาได้จากหัวข้อ การส่งออก สินค้าเกษตร
CERTIFICATE OF FUMIGATION (ใบรับรองการรมยา) สำหรับสินค้าทุกชนิดที่เป็นผลิตภัณฑ์จากพืช เพื่อเป็นการทายศัตรูพืชทุกชนิดนอกจากนั้น เป็นการทำลายเชื้อราต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการขนส่งสินค้า ดังนั้นกรรมวิธีการรมควันจึงเป็นการป้องกันที่ต้นเหตุได้อย่างดี
Certificate of Analysis : ใบสำคัญแสดงการวิเคราะห์ ? เป็นเอกสารแสดงการวิเคราะห์ว่าสินค้านั้นๆ มีส่วนผสมอะไรบ้าง และมีสัดส่วนอย่าไร ซึ่งผู้ซื้อ (Importer) จะได้ทราบว่า สินค้ามีส่วนผสมตามความตกลง

SANITARY CERTIFICATE (ใบรับรองการตรวจสอบอาหารที่เป็นของสดหรือแช่แข็ง) ใบรับรองประเภทนี้จะออกให้แก่ผู้ส่งออก เพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์ที่ส่งออกไปปลอดโรคและสิ่งปนเปื้อนที่จะเป็นอัตรายต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดตามมาตรฐานหรือข้อกำหนดที่ประเทศผู้ซื้อกำหนดด้วย สำหรับหน่วยงานที่มีอำนาจออกหนังสือรับรองประเภทนี้เป็นไปตามส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น สินค้าประเภทสัตว์น้ำจะออกใบรับรองโดย กรมประมง เป็นต้น
ข้อสรุปในการจัดทำเอกสาร-เพื่อการส่งออกควรจัดทำไว้เป็น 2 ชุด
 ชุดที่ 1. ใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากรภายในประเทศ สำหรับสินค้าส่งออก ตามระเบียบของกรมศุลกากรทุกประเภท
  ชุดที่ 2. เป็นชุดที่ต้องจัดส่งไปให้ผู้รับสินค้าปลายทาง หรือผู้ซื้อนั่นเอง ควรทำและจัดหาให้ครบตามที่ผู้ซื้อต้องการ หรือ ถ้าเป็นการขายสินค้าโดยมี แอล.ซี. ต้องตรวจสอบให้ครบถ้วนตามที่ L/C ได้กำหนดไว้ ซึ่งต้องลงรายละเอียดและหาข้อมูลตามเงื่อนไขโดยถูกต้องด้วย

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

Bill Of Lading


Bill Of Lading  โหมดการขนส่งที่ไม่ใช่ การขนส่งทางเรือ มีทั้งหมด 7 เทอม ประกอบด้วยเทอมเก่าคือ EXW (Ex Works), FAC (Free Carrier), CPT (Carriage Paid To), CIP (Carriage And Insurance Paid To), DAT (Delivered At Terminal ), DAP (Delivered At Place) และ DDP (Delivered Duty Unpaid) อีกโหมดหนึ่งคือการขนส่งทางทะเลและทางลำน้ำ ประกอบด้วย 4 เทอมซึ่งเป็นเทอมที่คุ้นเคยกันทั่วไปคือ FAS (Free Alongside Ship), FOB (Free On Board), CFR (Cost And Freight) และ CIF (Cost, Insurance and Freight)
DAT (Delivered At Terminal) เป็นเทอมใหม่ แทน DEQ (Delivered Ex Quay) จากข้อมูลเบื้องต้น เทอม DAT สามารถใช้กับการขนส่งแบบใดก็ได้รวมทั้งใช้ได้กับการขนส่งที่ต้องใช้ทั้งสอง โหมด สำหรับการส่งมอบสินค้านั้น ถือว่าผู้ขายได้ส่งมอบสินค้า เมื่อมีการขนถ่ายสินค้าลงจากยานพาหนะที่บรรทุก ไปไว้ยังที่ที่ผู้ซื้อจัดไว้ ณ อาคารขนถ่ายสินค้า ในท่าเรือหรือปลายทางตามที่ระบุไว้
DAP (Delivered At Place) เป็นเทอมใหม่แทน DAF (Delivered At Frontier), DES (Delivery Ex Ship), DEQ (Delivered Ex Quay) และ DDU (Delivered Duty Unpaid) ซึ่งทางหอการค้านานาชาติเห็นว่า เทอมเดิมทั้งสี่เทอมดังกล่าวค่อนข้างคล้ายกันมากแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย จึงยุบรวมกันเพื่อให้เกิดความสะดวกยิ่งขึ้น และตามข้อมูลเบื้องต้น ผู้ขายตามเทอม DAP จะต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายต่าง ยกเว้นค่าภาษีและพิธีการนำเข้า และต้องรับความเสี่ยงภัย จนสินค้าถึงจุดหมายปลายทาง
หมายเหตุเกี่ยวกับ Incoterms 2000 และ Incoterms 2010 ตามเอกสารของหอการค้านานาชาติ บันทึกให้เป็นที่รับทราบกันว่า บรรดาสัญญาซื้อขายที่ทำภายใต้ Incoterms 2000 ยังมีผลใช้บังคับได้ แม้จะล่วงเลยปี พ.ศ. 2555 ก็ตาม นอกเหนือจากนั้นการทำสัญญาซื้อขายสินค้าภายหลังจากนี้ คู่สัญญายังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เทอมการค้า ตามอินโคเทอม ฉบับก่อนฉบับใดก็ได้ แต่ต้องระบุไว้ในสัญญาให้ชัดแจ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทขึ้น
คำแนะนำของหอการค้านานาชาติเกี่ยวกับใช้อินโคเทอม หอการค้านานาชาติให้คำแนะนำว่า ในการทำสัญญาซื้อขาย ผู้ซื้อและผู้ขายควรตกลงเลือกใช้เทอม ตามอินโคเทอมที่เหมาะสมกับสินค้าและวิธีการขนส่ง โดยสามารถศึกษาได้จากคำอธิบายและแนวทางในการใช้ Incoterms 2010 แต่ละเทอมได้จากเอกสารของหอการค้านานาชาติ (เป็นเอกสารลิขสิทธิ์พิมพ์จำหน่ายไม่ได้แจก) จึงเป็นเรื่องที่ผู้นำเข้าและส่งออกควรได้ศึกษาทำความเข้าใจกับ Incoterms 2010 เพื่อประโยชน์ในการเจรจาทำความตกลงซื้อขายให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ใบตราส่งสินค้า
  • เป็นตราสารที่ผู้รับขนสินค้าออกให้แก่ผู้ส่งสินค้า เพื่อแสดงว่าได้มีการรับสินค้าเพื่อนำส่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ผู้ส่ง สินค้ากำหนด ใบตราส่งสินค้ามีหลายชนิด เช่น
  • ใบตราส่งสินค้าทางทะเลเรียกว่า Ocean Bill of Lading ซึ่งมีลักษณะปลีกย่อยดังนี้ ใช้กับการขนส่งรวมรูปแบบต่อเนื่องหลายวิธีเข้าไว้ด้วยกัน เรียกว่า Multimodal Transport Document หรือ Combine Transportation Bill of Lading
  • ใช้ในการขนส่งที่ผู้รับสินค้าไม่ต้องนำต้นฉบับใบตราส่งไปขอรับ สินค้า ซึ่งในทางปฏิบัติผู้รับสินค้าสามารถใช้สำเนาใบตราส่งไปขอรับใบสั่งปล่อยจาก ตัวแทนเรือได้ เรียกว่า Seaway Bill หรือ Express Bill ใบตราส่งประเภทนี้ผู้รับตราส่งจะต้องเป็นผู้นำเข้าโดยตรง และความรับผิดชอบของผู้รับขนส่งมีน้อยกว่าใบตราส่งประเภทอื่น
  • ใบตราส่งสินค้าทางอากาศเรียกว่า Air Way Bill
  • ใบตราส่งสินค้าทางรถไฟ เรียกว่า Railway Bill ใบตราส่งสินค้าที่สำคัญได้แก่

ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of Lading)
ใบตราส่งสินค้าทางเรือเป็นเอกสารที่มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ
  • เป็นใบรับสินค้าที่ออกให้โดยสายเดินเรือหรือตัวแทนสายเดินเรือ ที่มีรายละเอียดของสินค้าที่จะทำการขนส่ง
  • เป็นสัญญาการขนส่งระหว่างผู้ส่งสินค้ากับผู้รับขนส่งสินค้า ว่าผู้รับขนส่งจะส่งสินค้าไปยังเมืองท่าปลายทางและจะส่งมอบให้แก่ผู้รับที่ ผู้ส่งสินค้าได้ระบุไว้
  • เป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในสินค้าที่ขนส่งที่เปลี่ยนมือได้ (Negotiable) ของผู้ทรงสิทธิ์ ซึ่งผู้ทรงสิทธิ์จะใช้ในการขอรับสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง หรือจะใช้ในการขายต่อสินค้าให้กับผู้รับซื้อช่วงในระหว่างการขนส่งก็ได้


ข้อความที่สำคัญในใบตราส่งสินค้าทางเรือมีดังนี้
ภาพ:ซื้อขาย.GIF
  • ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air Way Bill)
ใบตราส่งสินค้าทางอากาศเป็นเพียงใบรับสินค้าและสัญญาการขนส่งเท่านั้น


ข้อความที่สำคัญในใบตราส่งสินค้าทางอากาศมีดังนี้


ภาพ:ใบตรา.GIF
  • ใบตราส่งสินค้าที่ใช้กับการขนส่งรวมรูปแบบต่อเนื่องหลายวิธีเข้าไว้ด้วยกัน
ใบตราส่งสินค้าที่ใช้กับการขนส่งรวมรูปแบบต่อเนื่องหลายวิธีเข้า ไว้ด้วยกัน เรียกว่า Multimodal Transport Bill of Lading ใช้สำหรับการขนส่งที่รวมรูปแบบหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน เช่น ขนส่งโดยรถยนต์ไปต่อเรือเดินสมุทรแล้วไปต่อเครื่องบินอีกทอดหนึ่งเป็นต้น ใบตราส่งสินค้าแบบ Multimodal Transport Bill of Lading มีรายละเอียดเหมือนกันกับใบตราส่งสินค้าทางทะเลเกือบทั้งหมด
ข้อความที่สำคัญในใบตราส่งสินค้าแบบ Multimodal Transport Bill of Lading มีดังนี้


ภาพ:ขาย.GIF







คำศัพท์ประเภทสินค้า
Live Animals-ANI
สัตว์มีชีวิต
Perishables-PER
ของเน่าเปื่อยได้
Valuable Cargo-VAL
ของมีค่า
Human Remains-HUM
ศพมนุษย์
Dangerous Goods
สินค้าอันตราย
คำศัพท์ที่ระบุในเอกสาร
BAF (Bunker Adjuster Factor)
ตัวปรับค่าน้ำมัน
B/L (Bill of lading)
ใบตราส่งสินค้าทางเรือ
Surender B/L
ใบตราส่งสินค้าที่ผู้รับใบตราส่ง สามารถรับใบสั่งปล่อยสินค้าที่ปลายทางได้โดยไม่ต้องใช้ใบตราส่งสินค้าต้นฉบับ
Shipped on Board
เป็นคำที่ระบุใน B/Lมีความหมายว่าเรือสินค้าได้รับของไว้บนเรือเป็นที่เรียบร้อย
AWB(Air Waybill)
ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ
HAWB(House Air Waybill)
ใบตราขนส่งทางอากาศที่ออกโดย Freight Forwarder
CAF (Currency Adjustment Factor)
ตัวปรับเงินสกุลค่าระวางเรือ
CFS (Container Freight Station)
สถานีตู้สินค้า
CY (Container Yard)
ลานตู้สินค้า
FCL (Full Container Load)
สินค้าเต็มตู้
LCL (Less Than Container Load)
สินค้าไม่เต็มตู้
Consolidation
การรวบรวมสินค้า หรือ การรวมสินค้า โดยปกติจะกระทำโดยตัวแทนของผู้ซื้อสินค้า
TEU(Twenty-Foot Equivalent Unit )
ตู้สินค้าขนาด 20 ฟุต
FEU (Forty-Foot Equivalent Unit)
ตู้สินค้าขนาด 40 ฟุต
THC (Terminal Handing Charge)
ค่าใช้จ่ายที่ท่าในการเคลื่อนย้ายตู้สินค้า
Freight Collect
ค่าระวางจ่ายที่เมืองปลายทาง
Freight Prepaid
ค่าระวางจ่ายที่ต้นทาง
Detention
ค่าคืนตู้สินค้าที่ช้าเกินกว่าที่กำหนด
E.T.A (Estimate time of Arrival)
วันที่ที่เรืองจะเข้าถึงท่าปลายทาง
E.T.D (Estimate time of Departure)
วันที่ที่เรือจะออกจากท่าต้นทาง


ประเภทของตู้สินค้า
1) Dry Cargoes เป็นตู้ที่ใส่สินค้าทั่วไปที่มีการบรรจุหีบห่อหรือภาชนะต้องเป็นสินค้าที่ ไม่ต้องการรักษาอุณหภูมิ โดยสินค้าที่เข้าตู้ล้วจะต้องมีการจัดทำที่กั้นไม่ ให้มีสินค้าเลื่อนหรือขยับ หากใช้เป็นเชือกไนลอนรัดหน้าตู้ ก็จะเรียกว่า Lashing
2) Refrigerator Cargoes เป็นตู้สินค้าประเภทที่มีเครื่องปรับอากาศ มีการปรับอุณหภูมิในตู้ ซึ่งทำตามมาตรฐานต้องสามารถปรับอุณหภูมิได้อย่างน้อย –18 องศาเซลเซียสโดยเครื่องทำความเย็นนี้อาจติดอยู่กับตู้หรือมีปลั๊กใช้กระแส ไฟฟ้าเสียบจากนอกตู้ ซึ่งจะต้องมีที่วัดอุณหภูมิแสดงให้เห็นสถานะของอุณหภูมิของตู้สินค้า
3) Open Top เป็นตู้ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเป็น 40 ฟุต โดยออกแบบมาไม่ให้มีหลังคา สำหรับใช้ในการวางสินค้าขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร ซึ่งไม่สามารถขนย้ายผ่านประตู้ได้
4) Flat-rack เป็นพื้นราบมีขนาดกว้างและยาว ตาม Size ของ Container มาตรฐาน เป็นตู้คล้าย Container ที่มีแต่พื้น Platform สำหรับใส่สินค้าลักษณะพิเศษ เช่น เครื่องจักรประติมากรรม,รถแทรกเตอร์ เพื่อให้สามารถจัดเรียงกองในรูปแบบที่เป็น Slot ซึ่งเป็นลักษณะเรือที่เป็น Container
INCOTERMS 2000
5.1 EXW ( .... ระบุสถานที่)
ผู้ขายไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นหน้าที่ของผู้ซื้อที่จะต้องจัดการขนส่งสินค้าเองตั้งแต่ออกจากคลัง สินค้าของผู้ขาย ค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงตกอยู่กับผู้ซื้อทั้งสิ้น ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในการผ่านด่านศุลกากรขาออก กระทั่งค่าใช้จ่ายในการขนของขึ้นรถที่มารับ คลังสินค้าของผู้ขาย ทั้งนี้ เว้นแต่จะตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น เช่นให้ผู้ขายส่งของขึ้นรถที่ผู้ซื้อจัดมาให้ด้วย
5.2 FCA ( .... ระบุสถานที่ )
ผู้ขายส่งสินค้าให้ถึงจุดหรือสถานที่รับสินค้าที่อยู่ภายใต้ความอารักขาของผู้รับขนสินค้า เช่น Container Freight Station, Cargo Terminal ที่ท่าอากาศยาน หรือ สถานีรถไฟ ฯลฯ โดยเป็นหน้าที่ของผู้ขายในอันที่จะจัดการเพื่อส่งออกด้วย (เช่น ขอใบอนุญาต ในกรณีที่ต้องมีใบอนุญาตส่งออก รวมทั้งผ่านพิธีการศุลกากร) Terms นี้ จะใช้สำหรับการขนส่งทุกชนิด ทั้งทางบกหรือและอากาศ รวมทั้งการขนส่งหลายรูปแบบ โดยเฉพาะทางเรือจะเกี่ยวเนื่องกับการส่งของโดย container ด้วยวิธีที่เรียกว่า RO-RO ( roll on – roll off ) ไม่มีการยกสินค้าขึ้นเรือโดยใช้ปั้นจั่น แต่เป็นการขนส่งสินค้าไปถึงจุดรับสินค้าของผู้รับขนส่ง เช่น CFS ถ้าการส่งมอบสินค้ากระทำที่สถานที่ของผู้ขายเอง ผู้ขายต้องรับผิดชอบในการเอาของขึ้นบรรทุกยานพาหนะที่มารับด้วย แต่ถ้าการส่งมอบกระทำ ณ สถานที่อื่น ผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดชอบในการนำของลงจากยานพานะที่ใช้ขนสินค้าไป ฯลฯ
5.3 FAS ( .... ระบุท่าต้นทาง)
ผู้ขายส่งสินค้าให้ถึงข้างลำเรือที่ท่า หากเรือทอดสมออยู่กลางทะเลก็ต้องลำเลียงโดยเรือเล็กไปจนถึงข้างเรือใหญ่ กรณีนี้ ผู้ขายต้องจัดการส่งออกให้เรียบร้อย กล่าวคือทั้งเสียอากรขาออกและขอใบอนุญาตส่งออก ฯลฯ ซึ่งต่างกับ Incoterms 1990 ฉบับเดิมอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะตามฉบับที่แล้ว ผู้ซื้อต้องจัดการทำพิธีการส่งออกเอาเอง
5.4 FOB ( .... ระบุท่าต้นทาง)
ผู้ขายส่งสินค้าให้ถึงบนเรือ และความเสี่ยงจะเปลี่ยนข้างจากผู้ขายไปตกอยู่กับผู้ซื้อตั้งแต่วินาทีที่สินค้าถูกยกข้ามพ้นกราบเรือ (ship's rail) ไปเหนือลำเรือแล้ว ภาระในการส่งออก (เช่น การขอใบอนุญาต การชำระค่าอากรขาออก ฯลฯ) เป็นของผู้ขายที่จะต้องจัดการให้เสร็จสิ้น Terms นี้ใช้สำหรับการส่งของทางเรือแบบดั้งเดิม (conventional) โดยการยกสินค้าขึ้นเรือ หรือที่เรียกกันว่า LO-LO (Lift on – Lift off)
5.5 CFR ( .... ระบุท่าปลายทาง)
(โปรดสังเกตว่าเงื่อนไขนี้ เดิมใช้กันว่า C&F)
เช่นเดียวกันกับ FOB ข้างบน หากแต่ว่าผู้ขายต้องชำระค่าระวางในการขนส่งทางเรือด้วย มีข้อที่น่าสังเกตคือ ถึงแม้ผู้ขายจะต้องรับภาระเรื่องค่าระวางถึงปลายทางก็ตาม แต่ความเสี่ยงของฝ่ายผู้ขายนี้จะอยู่แค่กราบเรือที่ต้นทาง เหมือนกับกรณีของ FOB เท่านั้นเอง ว่าอีกอย่างหนึ่ง Cost (ค่าใช้จ่าย) ของผู้ขายไปถึงท่าปลายทาง (เสียค่าระวาง) แต่ Risk (ความเสี่ยง) ของผู้ขายจะสิ้นสุดที่กราบเรือเท่านั้นเอง ถ้าเป็นการส่งสินค้าโดยมิได้มียกของข้ามกราบเรือ จะต้องใช้เงื่อนไข CPT ซึ่งจะกล่าวต่อไป
5.6 CIF ( .... ระบุท่าปลายทาง)
เช่นเดียวกับ CFR ทุกประการ เพียงแต่เพิ่มให้ผู้ขายต้องจัดการเอาประกันภัยให้กับสินค้าที่ขนส่ง ด้วยการชำระเบี้ยประกันจนถึงปลายทางด้วยเท่านั้น และต้องไม่ลืมว่าความเสี่ยงของผู้ขายจะมีถึงจุดเหนือกราบเรือ เช่นเดียวกับเงื่อนไข FOB หรือ CFR เท่านั้น เลยไปแล้วเป็นเรื่องของผู้ซื้อ
5.7 CPT ( .... ระบุท่าปลายทาง)
เป็น term ใหม่ ใช้มาตั้งแต่ Incoterms 1990 สำหรับการขนส่งทุกรูปแบบ รวมทั้ง multimodal transport ด้วย มีความหมายใกล้เคียงกันกับ CFR ซึ่งให้ใช้แต่เฉพาะการขนส่งทางเรือนั่นเอง แต่สำหรับเงื่อนไข CPT นี้ ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้กับผู้รับขนส่ง (Carrier) ณ สถานที่รับของ ไม่ต้องส่งของขึ้นเรือ
5.8 CIP ( .... ระบุท่าปลายทาง)
เช่นเดียวกับ CPT ทุกประการ แต่เพิ่มภาระให้ผู้ขายต้องเอาประกันภัยด้วย ถ้าจะว่าไปแล้ว ความหมายของ CIP ก็ใกล้เคียงกับ CIF จะต่างกันก็ตรงที่ CIP ใช้ได้กับการขนส่งทุกรูปแบบ ตลอดจน multimodal transport แต่ CIF ใช้กับการขนส่งทางเรือเท่านั้น
5.9 DAF ( .... ระบุสถานที่)
สำหรับ การขนส่งสินค้าโดยผู้ขายไปจนถึงพรมแดนของประเทศโดยผ่านด่านศุลกากรขาออกของ ประเทศผู้ขายไปแล้ว แต่ยังไม่ผ่านด่านศุลกากรขาเข้าของประเทศผู้ซื้อ ค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงเป็นของผู้ขายไปถึงจุดที่ว่านั้น ณ พรมแดน ทั้งนี้ เว้นจะตกลงกันเป็นอย่างอื่น
5.10 DES ( .... ระบุท่าปลายทาง)
ผู้ขายต้องรับภาระค่าใช้จ่ายและความเสี่ยง จนกระทั่งเรือไปถึงและเทียบท่าปลายทางความรับผิดชอบนี้จะจำกัดอยู่แค่นั้น โดยสินค้ายังอยู่บนเรือ สำหรับการขนของลงจากเรือและค่าใช้จ่ายตลอดจนความเสี่ยงอื่น ๆ ที่ตามมา เป็นเรื่องของผู้ซื้อแต่ลำพังเพียงผู้เดียว
5.11 DEQ ( .... ระบุท่าปลายทาง)
เหมือนกันกับ DES ข้างบน หากแต่ผู้ขายต้องขนส่งสินค้าลงที่หน้าท่าให้ด้วย ต่อจากนั้นจึงเป็นภาระของผู้ซื้อ ค่าอากรขาเข้าและภาระในการขอใบอนุญาตนำเข้า (ถ้าจำเป็นต้องมี) ผู้ซื้อต้องจัดการเอง เงื่อนไขนี้ เดิมใน Incoterms 1990 ผู้ขายหรือผู้ซื้อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะจ่ายก็ได้ แล้วแต่จะตกลงกัน (แต่ปกติแล้วผู้ขายต้องจ่าย) คราวนี้เปลี่ยนเป็นให้ผู้ซื้อจ่ายอย่างเดียว
5.12 DDU ( .... ระบุสถานที่ปลายทาง)
ผู้ขายจะต้องขนส่งสินค้าไปจนถึงสถานที่ที่ผู้ซื้อกำหนดในประเทศปลายทาง เช่นให้ส่งที่คลังสินค้าของผู้ซื้อไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ไหน ในประเทศปลายทางดังกล่าว แต่ถ้าตกลงกันว่าให้ส่งมอบสินค้าในบริเวณท่าเรือปลายทางก็ควรใช้เงื่อนไข DES หรือ DEQ แทน ในการนี้ผู้ขายจะจัดการขนส่งสินค้าไปจนถึงสถานที่ที่จะส่งมอบ แต่เป็นหน้าที่ของผู้ซื้อที่จะต้องจัดการขนสินค้าดังกล่าวลงจากยานพาหนะที่ไปส่งสินค้าเอง อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายผู้ซื้อต้องชำระค่าอากรขาเข้าตลอดจนภาษีอื่น ๆ ของประเทศที่นำสินค้าเข้าเองด้วย
5.13 DDP ( .... ระบุสถานที่ปลายทาง)
ผู้ขายต้องรับภาระสูงสุด (และราคาก็สูงสุดเหมือนกัน)เพราะฝ่ายผู้ซื้อไม่ต้องทำอะไรและไม่ต้องจ่ายค่าอากรขาเข้าด้วย เป็นหน้าที่ของผู้ขายที่จะต้องเหมาหมด การขนสินค้าลงจากยานพาหนะที่ไปส่งก็เป็นหน้าที่ของผู้ซื้อเช่นเดียวกันกับภายใต้เงื่อนไข DDUและถ้าตกลงจะส่งมอบกันในบริเวณท่าเรือ ก็ให้ใช้เงื่อนไข DES หรือ DEQ แทนเหมือนกันกับกรณี DDU ที่กล่าวแล้ว ภายใต้เงื่อนไข DDP นี้ ราคาสินค้าต่อหน่วยจะแพงที่สุด เพราะผู้ขายต้องรับภาระทุกอย่าง